เคยคิดตอนเรียนหลังจากอ่านนิยายพันธุ์หมาบ้าจบว่าอยากเปิดร้านหนังสือชื่อว่า Books & Beers แค่คิดตอนนั้นก็สนุก แต่เพื่อนจะถามทุกครั้งว่า “จะไม่เมาก่อนหรือ”..... นั่นนะสิ

 

ใครหลายคนคงคิดเหมือนผม ฝันอยากมีร้านหนังสือ อยากอยู่ท่ามกลางหนังสือกองโต ความฝันของการเปิดร้านหนังสืออาจเป็นสิบอันดับความฝันแรกที่ใครหลายคนอยากทำ เหมือนเป็น Dreaming 101  และก็เป็นความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมากที่สุด ร้านหนังสือเป็นสถานที่โรแมนติกในความคิดของเรา และก็ไม่ปฎิเสธด้วย ตัวผมเองก็โดนความโรแมนติกของร้านหนังสือจากภาพยนตร์อยู่สองเรื่องพามาสู่จุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

 

ปี 1998 ภาพยนตร์อย่าง You’ve Got Mail ชวนให้ผมยึดติดกับฉากร้านหนังสืออิสระเฉพาะทาง รายชื่อหนังสือชุด Ballet Shoe ของ Noel Streatfeild เป็นหนังสือเด็กที่ผมก็เคยลองสั่งมาจำหน่ายที่ร้าน ผมจำสามสิ่งได้แม่นจาก You’ve Got Mail อย่างแรกคือ Store Layout จังหวะชั้น ไล่ตั้งแต่ความสูง merchandiser ไปถึง Wall Shelves นี่คือร้านหนังสือเด็ก เพราะฉะนั้นการออกแบบจะรองรับการใช้งานของเด็กและครอบครัว

 

อย่างที่สองคือ CRM ในภาษาการตลาดทั่วไปอาจเรียกว่า Customer Relationship Management แต่ในภาษาหนังสือผมขอเรียกว่า Book Doctor ละกัน บุคลิกของ George ในภาพยนตร์คือคนที่สะท้อนความเป็น Bookseller ได้ชัดเจนที่สุด (ไม่นับ Kathleen Kelly)

 

Bookseller ต้องรู้อะไร อย่างแรก “เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง” แต่ “เราต้องรู้จักหนังสือในหมวดที่เราชอบ” หนังสือออกใหม่ปีละมากมายหลายล้านเล่มเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้จักทุกเล่มที่ออกใหม่ แต่สิ่งที่ George ผู้ชอบหนังสือเด็กจะต้องตอบได้คือ หนังสือเด็กโดยนักเขียน A มีจุดเด่นอะไร และ cross ไปยังเรื่องของนักเขียน B ได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความรู้ของ Bookseller ในทางกว้าง

 

ส่วนของความรู้ทางลึกคือนักเขียน A เคยเขียนหนังสือมากี่เล่ม มีอะไรบ้าง เล่มไหนออกก่อนหลัง เล่มใหม่จะออกเมื่อไหร่ และเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร สิ่งเหล่านี้เมื่ออยู่ในพื้นฐานของ Bookseller เมื่อถูกท้าทายด้วยโจทย์ตามลักษณะลูกค้า อาทิ อายุ เพศ ยิ่งทำให้เกิดมิติของการสร้าง Genre เป็น Customization เฉพาะลูกค้าแต่ละคน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้า Bookseller ไม่รู้จักหนังสือ

.

You’ve Got Mail แทรกพื้นฐานของ Bookselling 101 เอาไว้ในหนังสือ และถือว่าจับแก่นเอาไว้ได้ลงตัว สิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้เป็นวลีที่ Frank Navasky เขียนในบทความอธิบายถึง Kathleen Kelly ว่า

"Kathleen, you are a lone reed. You are a lone... reed, standing tall, waving boldly in the corrupt sands of commerce." 

ประโยคนี้ผมเอาไว้พูดเล่นกับตัวเองบ่อยครั้งยามเกิดอุปสรรคในการทำร้านหนังสือ

 

ปีถัดมา 1999 Notting Hill เข้าฉาย ผมได้บัตรฟรีจึงชวนเพื่อนสนิทไปดูที่ Siam Discovery หนังจบลงคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเพราะทุกวันนี้เราก็ยังพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้กันอยู่ ผมชอบหลายตอนในภาพยนตร์ และส่วนมากตรงกับชีวิตของคนขายหนังสืออย่างผม อาทิ William Thacker รำพึงกับผู้ช่วยว่า “…loss from major sale push” ครับเวลาเราลดราคาหนังสือเราเสี่ยงต่อการขาดทุนถ้าต้นทุนต่อตารางเมตร และอื่น ๆ ยังคงที่

 

นิตยสาร Bookseller ที่ Willam Thacker อ่านบนหลังคานั้นปัจจุบันผมก็ต้องอ่านทุกฉบับ ปัจจุบันความหนาอาจลดลงเยอะ แต่ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่ออาชีพมาก เพราะนิตยสารไม่ได้รีวิวเฉพาะหนังสืออะไรขายดีเท่านั้น แต่บอกว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีหนังสืออะไรออกมา นักเขียนดังคนไหนจะออกอะไร จุดขายอยู่ตรงไหน ความเคลื่อนไหวในวงการ อาทิ Barack Obama เซ็นสัญญาเขียนหนังสือกับใคร และจะออกเมื่อไหร่ หนังสือปกอ่อนของเล่มขายดีจะออกเมื่อไหร่ JK Rowling พูดอะไรเกี่ยวกับวงการหนังสือ ฯลฯ

 

ตอนที่ดู Notting Hill ครั้งแรกผมยังไม่ได้อยู่ในวงการหนังสือ เพราะฉะนั้นชื่อหนังสือ นักเขียนหลาย ๆ คนไม่รู้จักเลย เวลาผ่านไป Notting Hill เป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งดูยิ่งสนุกเพราะทุกครั้งที่ดูผมจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ เรื่องมากขึ้น  เมื่อบอกว่า ”ทุกครั้ง” ที่ดู แท้จริงแล้วคือดูทุกปีต่างหาก บางปีดูมากกว่า 1 รอบด้วย ยิ่งเมื่อรวมกับ You’ve Got Mail ที่ผมดูทุกปีเช่นกัน เรียกว่าชีวิตวนเวียนอยู่กับภาพยนตร์สองเรื่องนี้วนไปวนมา

 

สำหรับผมเวลาที่เหมาะที่สุดในการดูภาพยนตร์สองเรื่องนี้คือเดือนธันวาคม ไม่รู้เป็นยังไงสิครับ ดูเดือนเมษายน อารมณ์ไม่เหมือนดูในเดือนธันวาคม

 

สองเรื่องนี้แหละครับ ที่คาใจผมกับอาชีพคนขายหนังสือ หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเห็นประกาศรับสมัครงานกับบริษัทหนังสือ ผนวกกับความรู้สึกดี ๆ กับภาพยนตร์สองเรื่องนี้ ผมจึงสมัครงานในบริษัทหนังสือพร้อมบอกตัวเองไปด้วยว่า คงจะดีไม่น้อยถ้าได้บอกใคร ๆ ว่า “I’m in Book Business” ในอารมณ์เดียวกับที่ Joe Fox พูดใน You’ve Got Mail

 

เวลาผ่านไปรู้สึกตัวอีกทีผมก็นั่งขายหนังสือมาร่วมยี่สิบปีได้ และอาจจะเลยจุดเลี้ยวกลับสำหรับวิถีอาชีพมาแล้ว ก็ต้องคงเดินต่อไปข้างหน้าเท่าที่ยังมีทางให้เดินครับ แต่ถ้าใครสักคนถามผมจริง ๆ ว่าทำไมถึงเปิดร้านหนังสือนอกเหนือจากคำอธิบายเชิงตรรกะแล้ว นี่คือสาเหตุที่แท้จริงครับ เพราะผมตกหลุมความโรแมนติกของภาพยนตร์ และร้านหนังสือจนถอนตัวไม่ขึ้น

 

Ode to Booksellers

The Booksmith Bookshop

 

Photo by takahiro taguchi on Unsplash