เช้าตรู่ของวันที่ 13 เมษายน 2013 ระหว่างเดินทางไป London Book Fair ที่จะเริ่มวันที่ 15 เมษายน ผมต้องลงเครื่องที่ปารีสเพื่อต่อรถไฟเข้าลอนดอน ด้วยเหตุผลบางอย่างที่เที่ยวบินตรงทำไม่ได้ โชคดีที่ผมจะมีวีซ่าเชงเก้นและลอนดอนคู่กันเสมอ นี่ไม่ใช่การต้องแวะระหว่างทางครั้งแรก ครั้งก่อนหน้ามักจะเพียงเปลี่ยนเครื่องเท่านั้น แต่ครั้งนี้ตั๋วเครื่องบินเต็มทางเลือกจึงต้องเป็นทางรถไฟเท่านั้น และนี่เป็นการแวะเข้าปารีสครั้งแรกในชีวิต

เครื่องลงแต่เช้า ผมนั่งคิดสักพักว่าเอายังไงดี ดูนาฬิกามีเวลาก่อนรถไฟออกอีก 4 ชั่วโมง สมองคิดทันทีระหว่างหอไอเฟิล กับ shakespeare and company จะไปที่ไหนดี ที่สุดผมเลือกไป sanctuary ของเหล่า Tumbleweed กระโดดขึ้น RER เข้าเมือง นั่งไปเกือบหลับก็หลับไม่ลงความที่มีคนเตือนมากเหลือเกินกับปารีส กลัวไปหมด ในที่สุดก็ถึง Saint-Michel/Notre-Dame เดินโผล่ขึ้นมาก็เจอมหาวิหาร Notre-Dame ผมหลงไปเดินวนสักพัก ถามไปถามมาพบว่าแค่กลับหลังหันข้ามถนนตรงบันไดสถานีก็จะเจอ Shakespeare and Company มาแบบไม่ได้เตรียมก็แบบนี้

ผมอาจจะเป็นผู้มาเยือนคนแรก เพราะเหล่า Tumbleweed ยังทยอยจัดร้านกันอยู่ ผมไม่ได้ตื่นเต้นกับ selection เพราะทราบมาก่อนว่า selection ดีมาก เพียงมาเห็นด้วยตาอีกครั้ง แต่ที่ซึมเข้าอณูของความรู้สึกคือความตื่นเต้นกับบรรยากาศ ความขลังของหนังสือเก่าที่เสียบตามชั้นจากพื้นถึงเพดาน ค่อยๆเดินขึ้นไปชั้นบน ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นในภาพกับความรู้สึกตอนนี้เทียบกันไม่ได้เลย ร่องรอยของความเก่า การสึกหรอไปตามอายุไขของสถานที่ เมื่อไล่ปกหนังสือเก่าทั้งหลายบางทีก็อดคิดทึ่งในใจไม่ได้ว่า “ใครกันนะที่อ่าน” ผมเดินอยู่วนไปวนมาอยู่นาน ไม่ได้มีโอกาสคุยกับใครเพราะเหมือนทุกคนกำลังยุ่งในหน้าที่ของตัวเอง

เช้าวันนั้นฝนปรอยเล็กน้อยแต่ผมก็ไม่สนใจ ออกมายืนหน้าร้านอีกครั้ง อยากมองให้เต็มตา และบอกตัวเองว่าในที่สุดก็มาแล้ว อดคิดถึง The Booksmith ไม่ได้ ยอมรับในใจลึกๆว่าร้านผมคงจะไม่ได้อยู่มีอายุยืนยาวได้เท่านี้แน่ อาจจะจบที่รุ่นผมเอง แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่าเรามีอะไรที่เหมือนกันแม้จะเป็นเพียงคำว่า Independent Bookshop สำหรับผมคำว่า Independent มีความหมายที่ลึกแน่น เราเป็นอิสระ อิสระจากอะไร... อิสระในความคิดที่จะได้ทำในเรื่องที่เราทั้งฝันและหวัง ผมยังเชื่อว่ายังมีคนคิดเหมือนผมอีกเยอะ John Lennon บอกไว้ว่า “you may say i'm a dreamer but i'm not the only one"

Je t’aime
เดอะ บิ๊ดสมุ้ก