ชีวิตในสนามบิน ตอน 3

          สนามบินเป็นที่ที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมมาเจอกัน เมื่อมาอยู่ในที่เดียวกันมันก็จะมีเรื่องวุ่น ๆ พฤติกรรมแปลก ๆ ให้ได้พบเจออยู่เสมอ ช่วงนี้โควิด-19 ระบาดทั่วโลก สนามบินหลายแห่งปิด ไม่มีผู้โดยสารก็จะเงียบเหงา มีแต่พนักงานในสนามบินเดินกันไปมา แทบหาผู้โดยสารไม่เจอเลย (บางทีก็คิดถึงความวุ่นวายเหมือนกันนะ รีบกลับมาเป็นเหมือนเดิมเร็ว ๆ เถอะ T_T) 


          ตอนที่ผู้โดยสารเยอะ ๆ ก็จะมีปัญหาห้องน้ำไม่พอต้องต่อคิวนานโดยเฉพาะตอนเช้า ๆ  รีบออกจากบ้านมาเข้างานเลยเข้าห้องน้ำไม่ทันต้องมาใช้ที่สนามบินพร้อมผู้โดยสาร ไม่สะอาดบ้างเพราะพี่ ๆ แม่บ้านทำความสะอาดไม่ทัน ทิชชู่เช็ดมือหมด แต่ตอนนี้ไม่ต้องแย่งไม่ต้องต่อคิวเพราะแทบไม่มีผู้คน ห้องน้ำของสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองเป็นระบบที่มีเซ็นเซอร์ไม่ต้องใช้มือกด รู้สึกดีมากเลยกับการไม่ต้องสัมผัสและเสี่ยงในช่วงโควิด-19 ระบาดแบบนี้ อยากให้สนามบินเชียงใหม่เป็นระบบเซ็นเซอร์บ้าง พฤติกรรมแปลก ๆ ในห้องน้ำที่เจอบ่อยเลยคือการเข้าห้องน้ำไปแล้วเจอคุณป้า ๆ ทั้งหลายแก้ผ้าเปลี่ยนเสื้อผ้ากันบริเวณหน้ากระจกตรงอ่างล้างมือเป็นกลุ่มใหญ่ เดินเข้ามาแล้วเจอคนโป๊หลายคนอยู่ตรงหน้าก็ตกใจอยู่นะ อาจเพราะเค้ามีโรงอาบน้ำสาธารณะที่ต้องแก้ผ้าอาบกันอยู่แล้วก็ได้ แต่ผู้เขียนไม่ชินสักทีเลยคิดว่ามันแปลก >_<


          พฤติกรรมอีกอย่างที่พบเห็นในสนามบินที่แปลกคือการที่ผู้ทรงศีลหรือพระสงฆ์ชอบทักแปลก ๆ หรือพูดเรื่องที่มองไม่เห็น สิ่งลี้ลับรอบ ๆ ตัวให้ฟัง ใช้น้ำเสียงแบบนุ่ม ๆ ทุ้ม ๆ เบา ๆ กระซิบ น่าขนลุกบอกไม่ถูก >_< แล้วชอบแจกวัตถุมงคล มีทั้งพระเครื่อง ตะกรุด ด้ายสายสิญจน์ ผ้ายันต์ ยิ่งพนักงานตรวจสอบสิ่งของก่อนขึ้นเครื่องจะได้กันเยอะมากเพราะเป็นจุดที่พนักงานอยู่กันเยอะ สแกนกระเป๋าหรือย่ามก็จะเห็น (สงสัยกลัวโดนยึดเลยแจกไว้ก่อน: ผู้เขียนคิดเอาเอง ^_^) พนักงานเดินผ่านเฉย ๆ ก็เรียกไปเอาก็มี หลายครั้งไม่พูดไม่บอกแต่ตอนออกจากร้านวางวัตถุมงคลไว้ให้ บางทีแจกจนลืมจ่ายเงินค่าสินค้า (คงจะเป็นเฉพาะคนไทยหรือเปล่านะที่ชอบแจกวัตถุมงคล เพราะเราเป็นเมืองพุทธ) 


          พฤติกรรมลูกค้าร้านหนังสือบางคนก็มีพฤติกรรมไม่น่ารัก เคยเจอลูกค้าฝรั่งแบบมาซื้อหนังสือท่องเที่ยวของ Lonely planet ไปสองวันแล้วเอากลับมาขอคืนเงิน บอกว่าไม่อยากได้แล้ว...แบบนี้ก็ได้เหรอ? บางคนถ่ายรูปเนื้อหาในหนังสือแบบตั้งใจถ่ายเอาแต่หน้าที่ชอบ ผู้เขียนไปบอกไม่ให้ถ่ายก็โดนว่าไม่มีน้ำใจ จะอะไรแค่ถ่ายรูปหนังสือไม่เสียหายสักหน่อย ยังไม่ต้องบอกถึงประเด็นลิขสิทธิ์เลย เอาแค่ในแง่ของความรู้สึกของคนขายหนังสือ เจอแบบนี้บั่นทอนกำลังใจนะ คนขายพยายามหาหนังสือดี ๆ มาขายที่ร้าน แต่ขายไม่ได้เพราะถูกลูกค้าถ่ายรูปเอาแต่หน้าที่ชอบไป และก็มีบางคนถ่ายรูปหน้าปกหนังสือเพื่อไปซื้อร้านอื่น อันนี้เข้าใจได้ว่ายังไม่สะดวกจะหิ้วขึ้นเครื่องหรือยังไม่พร้อมจะซื้อในตอนนั้น คนเขียนพยายามเขียนหนังสือสักเล่มที่ต้องเวลาเรียบเรียงข้อมูลต่าง ๆ  แต่ถูก copy ไปใช้แค่ภายในไม่กี่นาที มันเสียกำลังใจ หมดอารมณ์จะเขียนเลย T_T


          แต่ก็มีลูกค้าหลาย ๆ คนที่มาแวะดูหนังสือที่ร้านแล้วพูดชมการเลือกหนังสือมาขายที่ร้านว่ามีแต่หนังสือดี ๆ  ชอบหนังสือหลายเล่มในร้าน บางเล่มไม่เคยเห็นที่ไหน เคยมีลูกค้าฝรั่งที่ชอบหนังสือแนวประวัติศาสตร์เอเชียมาซื้อหนังสือ ใช้เวลาเลือกอยู่ในร้านจนลืมเวลาขึ้นเครื่อง ก่อนออกจากร้านไปบอกว่า "ร้านคุณเป็นร้านเล็ก ๆ ที่มีแต่หนังสือดี ๆ  ฉันอยากจะซื้อมันหลายเล่มเลยแต่ฉันถือขึ้นเครื่องไม่ไหว น่าเสียดายที่ฉันจะไม่ได้กลับมาไทยเร็ว ๆ นี้" ได้ยินแบบนี้ค่อยชื่นใจ มีกำลังใจทำงานหน่อย ไม่ต้องเอ่ยชมก็ได้ แค่เห็นลูกค้าชอบหนังสือในร้าน แวะหยิบหนังสือขึ้นมาดูหน้าปกอ่านคำบรรยายหลังปก ถึงไม่ซื้อแต่ยิ้มออกไปก็ดีใจนะ อย่างน้อยก็ยังจะคิดได้ว่าเคยเจอหนังสือที่ชอบในร้านเรา คงมีสักวันที่เค้าจะกลับมาอุดหนุน ต้องขอบคุณลูกค้าที่เคยแวะมาดูและอุดหนุนที่ร้านทุกสาขา และลูกค้าที่กำลังจะมาอุดหนุนในเร็ว ๆ นี้มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ^_^



เรื่อง : ดาว 
ภาพประกอบ : Serm